ตาราง ทบทวน วรรณกรรม
11 เม. ษ. �� การส่งการทำข้อสอบนอกห้องเรียน (สอบครั้งที่ 7) ผ่านอีเมล์ จ. 13 เม. �� ตารางทบทวนวรรณกรรมฉบับที่ 2 และต้นฉบับวรรณกรรมในรูป pdf � หากยังไม่ส่ง จ. �� ตารางทบทวนวรรณกรรมฉบับที่ 3 และต้นฉบับวรรณกรรมในรูป pdf จ. 20 เม. �� ตารางทบทวนวรรณกรรมฉบับที่ 4 และต้นฉบับวรรณกรรมในรูป pdf จ. 27 เม. �� ตารางทบทวนวรรณกรรมฉบับที่ 5 และต้นฉบับวรรณกรรมในรูป pdf จ. 4 พ. ค. ���� รายงานทบทวนวรรณกรรมฉบับสมบูรณ์ ที่รวบรวมจากการมอบหมายงาน � 5 เรื่อง รายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับ ตารางทบทวนวรรณกรรม และรายงานทบทวนวรรณกรรมฉบับสมบูรณ์ นิสิตสามารถดูได้จาก website ของอาจารย์ จึงเรียนมาเพื่อให้นิสิตเรียนรู้ทางไกลด้วยวิธีการมอบหมายงาน และการทำรายงาน และขอให้นิสิตส่งงานตรงต่อเวลา ตามอีเมล์ฉบับนี้ มิฉะนั้น งานมอบหมายจะไม่ได้รับการประเมิน และขอให้นิสิตคุยกับเพื่อนๆ เรื่องข่าวสารจากอาจารย์ เนื่องจากเพื่อนบางท่านอาจไม่ได้รับข่าวสารฉบับนี้ ถึงแม้อาจารย์ได้อีเมล์ให้นิสิตทุกท่าน ขอให้นิสิตโชคดี อาจารย์ชัยรัตน์
- ส่วนประกอบของโครงร่างการวิจัย: ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง (Review of Related Literature)
- 7 อุปนิสัยพัฒนาสู่ผู้มีประสิทธิผลสูง - วิกิพีเดีย
- ส่วนประกอบของโครงร่างการวิจัย: คำถามวิจัย (Research Questions)
ส่วนประกอบของโครงร่างการวิจัย: ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง (Review of Related Literature)
ข้ามไปเนื้อหา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ไฟล์:7 ภาพปกหนังสือ 7 อุปนิสัยพัฒนาสู่ผู้มีประสิทธิผลสูง 7 อุปนิสัยพัฒนาสู่ผู้มีประสิทธิผลสูง ( อังกฤษ: The Seven Habits of Highly Effective People) เป็นหนังสือวิชาการ แขนง จิตวิทยา เป็นหนึ่งในหนังสือที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก มีการแปลในภาษาต่างๆ แล้วมากกว่า 34 ภาษา จำหน่ายไปแล้วกว่า 25 ล้านเล่มทั่วโลก เป็นหนังสือที่ว่าด้วยอุปนิสัยต่างๆ ทั้ง 7 อย่างของมนุษย์ ซึ่งมักใช้ในการอ้างอิงของหมู่นักการจัดการ นักวิชาการ นักจิตวิทยา เขียนโดย สตีเฟน อาร์. โคว์วีย์ นักจิตวิทยา และยังมี อุปนิสัยที่ 8: จากประสิทธิผลสู่ความยิ่งใหญ่ ที่เขียนต่อจาก 7 อุปนิสัย และ 7 อุปนิสัยให้วัยรุ่นเป็นเลิศ โดยลูกชายของเขา ฌอน โคว์วีย์ เป็นผู้เขียน ในประเทศไทย พิมพ์ครั้งแรกในปี พ. ศ. 2541 โดย สำนักพิมพ์ se-ed เรียบเรียงโดย สงการณ์ จิตสุทธิภากร และ นิรันดร์เกชาคุปต์ ต่อมา เมื่อหมดลิขสิทธิ์ สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี ได้ซื้อลิขสิทธิ์มาจัดทำใหม่เรียบเรียงโดย นพดล เวชสวัสดิ์ บรรณาธิการโดย ดนัย จันทร์เจ้าฉาย หลักของ 7 อุปนิสัย [ แก้] หลักของ 7 อุปนิสัย ที่ สตีเฟน อาร์. โคว์วีย์เขียน 7 ขั้นดังต่อไปนี้ 1.
หลังจากทบทวนวรรณกรรมครบทุกเรื่องแล้วให้นำมาสรุปลงในตาราง (ซึ่งวรรณกรรมของ นศ. แต่ละกลุ่มเยอะกว่า อาจารย์ สามารถดันแปลงตารางเป็น check list ดังตาราง 1 เป็นต้น) ตาราง 1 แสดงตัวแปรอิสระที่ได้จากการทบทวนแนวคิดและทฤษฎี (Roy & Konwar, 2020; Wesaratt, Sharif, & Majid, 2015 and Tasnim, 2016) Meaningfulness of work Job security Relationship with co-worker Recognition Autonomy Employment status Roy & Konwar, 2020 Wesaratt, Sharif, & Majid, 2015 Tasnim, 2016 แต่วรรณกรรมของ อ.
ข้ามไปเนื้อหา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี การทบทวนวรรณกรรม ( อังกฤษ: literature review) เป็นเนื้อหาหลักส่วนหนึ่งในการเขียนรายงาน การวิจัย โดยเน้นอธิบายเกี่ยวกับงานวิจัยหรือ ความรู้ ในหัวข้อเดียวกันหรือใกล้เคียงในอดีต โดยการทบทวนวรรณกรรมนั้นมีจุดหมายในการรวบรวมข้อมูลปัจจุบันของผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การทบทวนวรรณกรรมมักจะพบได้ในงานเขียนด้านวิชาการ เช่นใน วิทยานิพนธ์ ดุษฎีนิพนธ์ หรือผลงานใน วารสารวิชาการ การทบทวนวรรณกรรมมักจะถูกลำดับเป็นส่วนที่สองของงานเขียนต่อจาก บทนำ และมักจะอยู่ก่อนหน้าเป้าหมายงานวิจัย และขั้นตอนการวิจัย อ้างอิง [ แก้] Cooper, H. (1998). Synthesizing Research: A Guide for Literature Reviews. Cooper, H. M. (1988): The structure of knowledge synthesis - Knowledge in Society, vol. 1, pp, 104-126. บทความนี้ยังเป็น โครง คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียได้โดย เพิ่มข้อมูล
7 อุปนิสัยพัฒนาสู่ผู้มีประสิทธิผลสูง - วิกิพีเดีย
เข้าใจคนอื่นก่อนจะให้คนอื่นเข้าใจเรา (Seek First to Understand, Then to be Understood. )ก่อนบอกความต้องการหรือสิ่งที่เราคิดแล้วอยากให้ผู้อื่นยอมรับ เราต้องให้ความสำคัญและเข้าใจมุมมองของผู้อื่นต่อเรื่องนั้นๆอย่างลึกซึ้งก่อน ลดการปะทะกัน 6. ประสานพลังสร้างสิ่งใหม่ (Synergize)เกิดจากการยอมรับในคุณค่าของตนเอง และเข้าใจในความแตกต่างที่ผู้อื่นมีมุมมอง ลดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่สร้างสรรค์ซึ่งปิดกั้นความคิดดีๆของกลุ่มคนที่อยู่ด้วยกัน มีเพียงความพยามในการเข้าใจในสิ่งที่ตอนแรกเหมือนจะไม่เห็นด้วยเท่านั้น 7. ลับเลื่อยให้คมอยู่เสมอ (Sharpen the saw) ที่กล่าวมาทั้งหมดตั้งแต่อุปนิสัยที่ 1-6 จะนำไปใช้ในชีวิตจริงให้ได้ประสิทธิผล เราต้องมั่นฝึกฝนอุปนิสัยต่างๆเหล่านั้นอย่างสม่ำเสมอ "หมั่นลับคมเลื่อยไว้ ยามเมื่อถึงเวลา.. จะได้พร้อมใช้" นั่นเอง แหล่งข้อมูลอื่น [ แก้] เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ แฟรงคิงโคว์วีย์
- การทบทวนวรรณกรรม - วิกิพีเดีย
- ส่วนประกอบของโครงร่างการวิจัย: คำถามวิจัย (Research Questions)
- ตารางทบทวนวรรณกรรม
- Supersport เซ็นทรัล พัทยา
- CAT AND DOG HOTEL (THAILAND): บริการรับฝากเลี้ยงแมวและสัตว์
- เตียงระบบไฟฟ้าทำหน้า เตียงไฟฟ้าเกาหลี เตียงนวดหน้าราคาส่งโรงงานผลิต - YouTube
- ส่วนลด get delivery tracking
- วิธีการทำแกงกะหรี่ญี่ปุ่น
- The crown warz โปร youtube
ส่วนประกอบของโครงร่างการวิจัย: คำถามวิจัย (Research Questions)
ควรเขียนให้ต่อเนื่องเกี่ยวโยงกันตลอดเนื้อหา 2. ไม่ควรเขียนเรียงตามปีหรือตามชื่อผู้เขียน ควรเรียบเรียงใหม่ตามแนวคิดและตัวแปรที่ศึกษา โดยระบุความสำคัญ และความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ ( เพ็ญแข แสงแก้ว 2541: 24) 3. ควรแบ่งกลุ่มหรือประเภทเนื้อหาที่นำมาอ้างอิง จัดให้เป็นหมวดหมู่ โดยแบ่งออกเป็นประเด็นต่าง ๆ หรือ แยกเป็นหัวเรื่องต่าง ๆ อย่างชัดเจน 4. ทฤษฏี แนวคิด หลักการ และงานวิจัยที่นำมาเขียนหรืออ้างอิง ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยที่ศึกษาโดยตรง 5. ควรมีการสรุปประเด็นหรือหัวเรื่องที่นำเสนอทุกเรื่อง ตามแนวคิดของผู้วิจัยเอง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจในเรื่องนั้นๆ โดยใช้คำว่า จากที่กล่าวมา สรุปได้ว่า. หรือ จะเห็นได้ว่า. 1 เป็นต้น 6. ควรมีการอ้างอิงอย่างถูกต้อง และชัดเจน 7. ลักษณะการเขียนเอกสารที่เกี่ยวข้องในแต่ละหัวเรื่อง ควรประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 7. 1 ความนำ (introduction) 7. 2 เนื้อหา (body) เป็นการนำเสนอทฤษฏี แนวคิด หลักการ 7. 3 สรุปความเห็น (conclusion) เป็นความคิดเห็นของผู้วิจัย สรุป การศึกษาค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย จะช่วยให้ได้แนวทางในการวิจัยช่วยให้ทำการวิจัยได้สำเร็จอย่างมีคุณภาพ นอกเหนือจากการช่วยให้ได้ปัญหาในการวิจัยสำหรับผู้วิจัยบางคน ซึ่งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย หมายถึง ตำรา หนังสือ เอกสารอ้างอิง รายงานการวิจัย บทคัดย่อการวิจัย วารสาร นิตยสารที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวข้อง หรือสอดคล้องกับเรื่องที่วิจัยที่สามารถอ้างอิงได้ ที่มา: บุญชม ศรีสะอาด.
(2554). การวิจัยเบื้องต้น. (พิมพ์ครั้งที่ 9). กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น. อรุณรุ่ง ปภาพสิษฐ. (2555). เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง เค้าโครงการวิจัย.
ต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นทำก่อน (Be Proactive) เวลาที่เราต้องการอะไร หรือต้องการจะเริ่มอะไรสักอย่าง จะต้องมีตัวกระตุ้น และตัวกระตุ้นจะทำให้เกิดการตอบสนอง ดังนั้น หากเราเป็นผู้เริ่มก่อน หรือเป็นตัวกระตุ้น การตอบสนองจะตามมา แต่การที่เราจะทำสิ่งใด ก็ควรอยู่ในขอบเขตที่ทุกคน สามารถยอมรับได้ 2. เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ (Begin with the End in Mind) การที่เราจะเริ่มต้น ก่อนอื่นมันมักจะมาจากสิ่งที่เราคิดในใจ หลักของ "เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ" นั้นคือการทำสองครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นในจิตใจ และครั้งที่สอง คือการทำให้สิ่งที่เราคิดเป็นจริง แต่การที่เราจะทุ่มแค่แรงใจอย่างเดียวก็ไม่สามารถเกิดประสิทธิผลได้ มันอยู่กับว่าเราเทความพยายามไปในสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ และต้องมีศูนย์รวมในตนเองและเป็นการที่เราดำเนินชีวิต และตัดสินใจได้จากฐานความชัดเจนในเป้าหมายชีวิตของเรา สามารถปฏิเสธอย่างไม่รู้สึกผิดหากสิ่งนั้นไม่ตรงเป้าประสงค์หลักของเรา 3. ทำตามลำดับความสำคัญ (Put First Things First. ) อุปนิสัยที่ 3 เป็นเหมือนภาคปฏิบัติของ อุปนิสัยที่ 1 และ 2 ซึ่งมีทั้ง การจัดการบริหารเวลา, รู้จักปฏิเสธ, ตารางเวลา เพื่อให้เราทำสิ่งที่สำคัญมากที่สุดก่อน วิธีง่ายๆ ที่จะลองทำคือ เขียนรายชื่อสิ่งที่เราอยากทำ และ เราควรทำ ทำสัญญาลักษณ์แบ่งมันออกเป็น 3 ระดับ คือ สำคัญมากเร่งด่วน, สำคัญมากแต่ไม่เร่งด่วน, ไม่สำคัญมากแต่เร่งด่วน.